เวลา 17.55 น. วันที่ 12 มีนาคม 2564 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปยังท่าอากาศยานทหาร กองบิน 46 อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก โดยมี เจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี โดยเสด็จด้วย เมื่อเสด็จพระราชดำเนินถึง นายรณชัย จิตรวิเศษ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก พร้อมด้วยข้าราชการ และประชาชนจังหวัดพิษณุโลก และใกล้เคียงจำนวนมาก เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ จากนั้น พลโท อภิเชษฐ์ ซื่อสัตย์ แม่ทัพภาคที่ 3 กราบบังคมทูลเชิญเสด็จขึ้นแท่นทรงรับการถวายความเคารพจากกองทหารเกียรติยศ ก่อนจะประทับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปยังวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร
เวลา 18.28 น. เสด็จพระราชดำเนินถึงวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร ทรงวางพวงมาลัย และทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการท้ายที่นั่งบูชาพระพุทธชินราช พระประธานพระวิหาร แล้วทรงวางพุ่มดอกไม้ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายราชสักการะพระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเอกาทศรถ และพระรูปพระพี่นางสุพรรณกัลยา
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ หรือ "วัดใหญ่" หรือ "วัดพระพุทธชินราช" สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นก่อนสมัยสุโขทัย และเป็นพระอารามหลวงมาแต่เดิม เนื่องจากพบศิลาจารึกสุโขทัย ว่า ประมาณปี 1900 สมเด็จพระมหาธรรมราชาที่ 1 หรือ พญาลิไท แห่งราชวงศ์พระร่วง ทรงสร้างขึ้น ต่อมาปี 2458 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร ภายในมีโบราณสถานและโบราณวัตถุสำคัญ อาทิ พระวิหารพระพุทธชินราช เป็นวิหารทรงโรง ประดิษฐาน "พระพุทธชินราช" พระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัยตอนปลาย ที่มีพุทธลักษณะงดงาม และเป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองของประเทศ โดยสวมนพรัตน์สังวาล (สายทองคำ) ที่ประชาชนจัดสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยนพรัตน์สังวาล เป็นเส้นทองคำ สลักดุนมือ ประดับพลอย และทองคำ น้ำหนักรวม 13 กิโลกรัม ปัจจุบัน มีพระพุทธิวงศมุนี เป็นเจ้าอาวาส มีพระสงฆ์จำพรรษา 74 รูป สามเณร 220 รูป
จากนั้น เจ้าอาวาสวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร ถวายของที่ระลึกแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และเจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี แล้วประทับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปยังที่ทำการศาลจังหวัดพิษณุโลก โดยมีประชาชนพร้อมใจสวมใส่เสื้อสีเหลือง เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จอย่างเนืองแน่น ตลอดเส้นทางที่เสด็จพระราชดำเนินผ่าน
เวลา 18.41 น. เสด็จพระราชดำเนินไปยังอาคารที่ทำการศาลจังหวัดพิษณุโลก อำเภอเมือง ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธนวราชบพิตร จากนั้น ทรงพระสุหร่าย ทรงเจิมแผ่นอิฐ ทอง นาก เงิน และแผ่นศิลาฤกษ์ แล้วทรงวางลงในหลุม และทรงเปิดอาคารที่ทำการศาลจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเดิมคือ "ศาลมณฑลพิศณุโลก" สร้างขึ้นในในปี 2443 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นอาคารไม้ทรงสี่เหลี่ยมชั้นเดียวยกพื้นสูง ต่อมาในปี 2475 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นศาลจังหวัดพิษณุโลก กระทั่งในปี 2555 ได้รับการจัดสรรงบประมาณก่อสร้างอาคารที่ทำการหลังใหม่ เป็นสถาปัตยกรรมแบบไทยประยุกต์ทางภาคเหนือตอนล่าง มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สีขาวทั้งหลัง สูง 4 ชั้น ขนาด 14 บัลลังก์ เพื่อรองรับการขยายงานและปริมาณคดีที่เพิ่มขึ้น เหมาะสมที่จะใช้เป็นสถานที่ประสิทธิ์ประสาทความยุติธรรมให้แก่ประชาชน สมแก่เกียรติศักดิ์แห่งสถาบันศาลยุติธรรม ซึ่งใช้อำนาจตุลาการภายใต้พระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ เปิดทำการตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม